วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ก้าวย่างสำคัญของจีนบนเวทีการค้าโลก

ก้าวย่างสำคัญของจีนบนเวทีการค้าโลก

โดย นายธนากร เสรีบุรี
รองประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์
ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจยานยนต์และอุตสาหกรรม(จีน)
ประธานสภาธุรกิจไทย-จีน

นับเป็นเวลา 10 ปีแล้วที่จีนได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO)  ซึ่งจีนก็ได้แสดงให้ชาวโลกได้เห็นถึงความสำเร็จผ่านทางตัวเลขการส่งออกที่เติบโต อย่างรวดเร็ว จนถึงปัจจุบันจีนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และบทบาทในวันนี้ของจีนจึงไม่ได้เป็นแค่เพียงสมาชิกของ WTO แต่ยังเป็นเครื่องจักรกลตัวสำคัญที่มีผลต่อการขับเคลื่อน และสร้างสรรค์ความสัมพันธ์ของเศรษฐกิจโลก

จีนได้เข้าเป็นสมาชิกของ WTO มาตั้งแต่ปี 2544   ซึ่งขณะนั้นจีนมีปริมาณการนำเข้าและส่งออกอยู่ที่ 5.1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็น 4.4 % ของการค้าโลก  และในทศวรรษที่ผ่านมาการนำเข้าและส่งออกของจีนเติบโตในอัตรา 18.3% และ 17.6% ตามลำดับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ GDP ของจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดด  โดยปรากฏว่าในปี 2554 ที่ผ่านมาปริมาณการนำเข้าและส่งออกของจีนเท่ากับ 3.64 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯเพิ่มขึ้นจากเดิมเมื่อก่อนเข้าเป็นสมาชิก WTO ถึง 7 เท่า และมีส่วนแบ่งทางการค้าโลกเพิ่มขึ้นถึง 6% ก้าว สู่การเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ2ของโลก เป็นประเทศที่มีการนำเข้าสูงสุดอันดับ 1 และการส่งออกมากที่สุดเป็นอันดับ 2ของโลก

 รัฐบาลจีนได้ดำเนินยุทธศาสตร์ การเติบโตอย่างมั่นคง การปรับโครงสร้าง และ แสวงหาความสมดุล(Steady growth, structural adjustment and balance-seeking)เพื่อรองรับการค้าต่างประเทศ  โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดการเกินดุลการค้าระหว่างประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าในปี 2554 ที่ผ่านมาจีนเกินดุลการค้าระหว่างประเทศอยู่ที่ 155.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นยอดที่น้อยกว่าปี 2553 จำนวน 26.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

แม้ว่าจะได้รับผลเป็นที่น่าพอใจ แต่รัฐบาลจีนยังคงดำเนินการด้านการค้าระหว่างประเทศอย่างระมัดระวังและภายใต้ทัศนคติที่มีเหตุผลและแจกแจงให้สังคมโลกทราบเสมอว่า ตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมาบริษัทต่างประเทศได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในธุรกิจด้านการค้าระหว่างประเทศในจีน  พิจารณาได้จากตัวเลขผลประกอบการรวมของบริษัทเหล่านี้ซึ่งสูงกว่าผลประกอบการของบริษัทจีน โดยมีมูลค่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณการส่งออกทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจีนจะประสบความสำเร็จอย่างล้นเหลือในช่วงที่ผ่านมา  แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายและแรงต้านทานทั้งภายนอกและภายในอย่างมากมาย รวมไปถึงการได้รับผลพวงจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจากยุโรปและอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่จีนทำการส่งออกมูลค่ามากกว่า 40% และยังเป็นกลุ่มประเทศที่มีปัญหาการแข่งขันและความขัดแย้งกับจีนเพิ่มมากขึ้น โดยกระทรวงพาณิชย์ของจีนรายงานว่าจีนต้องรับกับปัญหาเรื่องการตอบโต้การทุ่มตลาดมากที่สุดใน 16 ปีที่ผ่านมา รวมถึงต้องเผชิญกับการถูกสอบสวนกรณีการให้เงินสนับสนุนโดยมิชอบตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอีกด้วย

10 ปีที่จีนเป็นสมาชิก WTO ปรากฏว่าจีนมีกรณีที่ต้องถูกฟ้องร้องสอบสวนต่าง ๆ เกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ 602 คดี คิดเป็นวงเงินรวมประมาณ 38.98 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับการตอบโต้การทุ่มตลาดจำนวน 510 คดี เกี่ยวกับการให้เงินสนับสนุนโดยมิชอบอีก 43 คดี เกี่ยวกับมาตรการปกป้องการนำเข้าจำนวน 106 คดี และอีก 33 คดีเกี่ยวกับมาตรการปกป้องพิเศษ

โดยเฉพาะในปี 2554 จีนต้องเผชิญกับกรณีขัดแย้งด้านการค้าระหว่างประเทศมากถึง  66 เรื่องภายใต้วงเงินที่ถูกสอบสวนถึง 7.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ  ซึ่งเป็นเพราะการพัฒนาเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วของจีนได้ไปสร้างความเดือดร้อนแก่หลาย ๆ ประเทศ

จากนโยบายเปิดให้สิทธิจัดตั้งบริษัทค้าขายระหว่างประเทศ ปัจจุบันบริษัทจำนวนมากได้เข้าสู่ธุรกิจด้านการส่งออกมากขึ้น ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 700,000 ราย ในจำนวนนี้มีมากถึง 400,000 รายเป็นกิจการของภาคเอกชน โดย 80% เป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม  และมากกว่า 70%ของการส่งออกทั้งหมดของจีนล้วนเป็นสินค้าที่ผลิตจากกิจการขนาดกลางและขนาดย่อมในจีน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากภาวะเศรษฐกิจการค้าโลกและจากการปฏิรูปของจีนที่เปิดประเทศมากขึ้น บริษัทการค้าระหว่างประเทศต่างเผชิญกับปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างมากมาย อาทิ คำสั่งซื้อที่มีจำนวนน้อยลง หรือ การขาดแคลนแรงงาน (สาเหตุ มาจากการพัฒนาด้านเศรษฐกิจของจีนที่เน้นไปที่ภาคกลางและภาคตะวันตกมากขึ้น ในช่วง 2-3 ปีหลัง ทำให้แรงงานเคลื่อนย้ายไปภาคดังกล่าวมากขึ้น) การขาดแคลนเงินสดหมุนเวียน (สาเหตุมาจากกิจการ SMEs ไม่ได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากธนาคาร) ต้นทุนดำเนินการสูงขึ้น (สาเหตุจากวัตถุดิบและค่าจ้างแรงงานสูงขึ้น) 

ด้วยผลพวงจากสถานการณ์ดังกล่าว การค้าระหว่างประเทศของจีนจึงเข้าสู่ห้วงเวลาที่เป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย ตามคำพังเพยของจีนที่ว่า โอกาสมักจะมากกว่าอุปสรรคและท้าทาย

เมื่อพิจารณาโดยรวม การค้าระหว่างประเทศในอนาคตของจีนจะยังคงเติบโตไปข้างหน้าอย่างมั่นคงแม้ว่าจะได้รับแรงกดดันและการแข่งขันจากประเทศที่ก้าวหน้ากว่าอย่างเช่นในยุโรปและสหรัฐอเมริกา แต่เนื่องด้วยความมีเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค และค่าเงินหยวน ตลอดไปจนถึงขนาดตลาดที่ยิ่งใหญ่ของจีน แรงงานราคาถูก และด้วยศักยภาพของรัฐบาลกลางที่มีนโยบายควบคุมอย่างเข้มงวด ดังนั้นปัจจัยเหล่านี้ได้ทำให้จีนมีความสามารถในการแข่งขันมากเป็นพิเศษในตลาดการค้าโลก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้มีมาตรการให้ลดและจำกัดการส่งออกสินค้าประเภทใช้พลังงานสิ้นเปลือง สินค้าที่ก่อให้เกิดมลภาวะสูง สินค้าที่เป็นวัตถุดิบและเป็นทรัพยากรธรรมชาติ และด้วยมาตรการนี้จึงส่งผลให้โครงสร้างการส่งออกของสินค้ามีการเปลี่ยนแปลงจำนวนมาก

นอกจากนี้ยังสังเกตเห็นมูลค่าการส่งออกของจีนซึ่งมีนัยสำคัญ ส่วนแบ่งสินค้า “Made in China” มีจำนวนเกือบกึ่งหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นการส่งออกสินค้าแปรรูปในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 พบว่าสินค้า “Made in China” มีส่วนแบ่งสูงถึง 47%ตามสภาพเศรษฐกิจของจีนที่ยังมีการพัฒนาและขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้ง สัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มสูงขึ้นอีก จึงเชื่อได้ว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการส่งออกดังกล่าวจะต้องมีความสำคัญต่อการค้าระหว่างประเทศของจีน

ในฐานะที่เป็นประธานสภาธุรกิจไทย-จีน และเป็นผู้ประกอบการชาวไทยเชื้อสายจีนที่เข้าไปลงทุนหลังการปฏิรูปและเปิดประเทศของจีนในช่วงแรกเริ่ม ได้ให้ความสนใจอยู่เสมอเกี่ยวกับแนวโน้มของการพัฒนาทางเศรษฐกิจของจีน โดยเฉพาะสถานการณ์ด้านการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศของจีน เพราะเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยและผู้ประกอบการไทยที่เข้าไปลงทุนในประเทศจีนโดยตรง สำหรับการค้าระหว่างประเทศจีนในอนาคตเกี่ยวกับเรื่องของ “Made in China” จึงมีความเห็นดังนี้

ในการพัฒนากระบวนการแปรรูปสินค้าเพื่อการส่งออกของจีนนั้น สามารถเรียนรู้จากยุคแรกของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเพื่อใช้เป็นบทเรียนที่ดี   ในช่วงนั้นสินค้าที่ตีตรา “Made in Japan” ก็เคยประสบปัญหามาแล้วอย่างมากมาย การทำการค้าระหว่างประเทศของญี่ปุ่นในยุคนั้นเป็นที่ปรากฏว่าสินค้า“Made in Japan”ไม่สามารถเข้าสู่ตลาดระดับบนได้ จึงจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ราคาต่ำเข้าไปแข่งขันกับตลาดโลก ในขณะที่ความต้องการสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ “Made in Japan” ในญี่ปุ่นเองก็มีอยู่ค่อนข้างน้อย  เพื่อแก้ไขปัญหานี้บริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคไปศึกษาดูงานในต่างประเทศ  โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ และพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของตลาดโลก รวมถึงมีความพยายามอย่างยิ่งที่จะพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และการสร้างแบรนด์ของตนเองโดยได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากรัฐบาล จนทำให้สินค้า “Made in Japan” ไม่ว่าจะเป็นคุณค่าของแบรนด์หรือเกรดสินค้าต่างก็สามารถไปแข่งขันอย่างทัดเทียมกับผลิตภัณฑ์ที่มาจากยุโรปและอเมริกาได้เป็นอย่างดีทั้งในแง่ของราคาและคุณภาพ
เมื่อเปรียบเทียบกับญี่ปุ่นแล้ว จีนเองมีข้อได้เปรียบทางการค้าที่มากกว่าญี่ปุ่นในยุคนั้น  ประการแรก จีนมีตลาดภายในประเทศขนาดใหญ่เพียงพอที่จะรองรับสินค้า Made in China อย่างไรก็ตาม ข้อได้เปรียบนี้อาจจะเป็นดาบสองคมได้ หากไม่สามารถใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้ดีเท่าที่ควร ผู้ผลิตสินค้า “Made in China” จำนวนมากไม่ห่วงปัญหาการตลาดภายในประเทศและเนื่องจากราคาสินค้าส่งออกต่ำกว่าราคาขายภายในประเทศ ส่งผลให้เกิดผลเสียตามมาอย่างมากมาย  โดยเฉพาะบริษัทผู้ผลิตสินค้าหลายแห่งทั้งขนาดใหญ่ และขนาดกลางต่างก็ไม่มีความสนใจที่จะส่งสินค้าออกไปต่างประเทศ สินค้าที่เป็นแบรนด์ของตัวเองไม่ได้รับการปรับปรุงพัฒนาและการยกระดับคุณภาพเท่าที่ควร ไม่มีจิตสำนึกด้านการตลาดต่างประเทศและการให้ความสำคัญด้านการบริการ

ปัจจัยสำคัญซึ่งทำให้สินค้า “Made in Japan” ประสบความสำเร็จนั่นคือการจัดตั้ง สำนักงานตัวแทนด้านการพัฒนาและส่งออกในรูปของสถาบันการลงทุนอิสระ ที่ มีงบประมาณเป็นของตนเองมีการกำหนดกลยุทธ์ในการทำการตลาดขึ้นในแต่ละประเทศทั้งระยะสั้นและระยะยาว ดังนั้นการพัฒนาและการส่งออกจึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของบริษัทอย่างแท้จริง เมื่อผนวกรวมเข้ากับการทำงานอย่างเข้มแข็งของบริษัทผู้ประกอบการที่พยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการญี่ปุ่นประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงติดระดับโลกและมี ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นบนเวทีการค้าระดับโลก

สินค้า “Made in China” ในวันนี้ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากสินค้า “Made in Japan” แต่อย่างใด  เพราะต่างมีเป้าหมายที่จะไปแข่งขันในตลาดระดับโลก แต่สินค้า Made in China ดู จะคุณภาพไม่ค่อยดีนัก และดูไม่ทันสมัย การบริการก็ไม่ได้มาตรฐาน รวมไปถึงการใช้ราคาต่ำเพื่อแข่งขันกันส่งออกอย่างไม่เป็นระบบ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของจีน  ในสภาพเช่นนี้ สินค้าMade in Chinaจึงถูกจัดเป็นสินค้าเกรดต่ำในตลาดโลกไปโดยปริยาย

คุณภาพต่ำ  กำไรต่ำ ทั้งยังมีความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างประเทศบ่อยครั้ง รวมถึงการถูกจำกัดโควตา  เหล่านี้ล้วนแล้วแต่สร้างภาพลบแก่จีน และยังเกิดความเสียหายทางการเงินด้วย

 ตัวอย่าง สำคัญที่เห็นได้ชัดคือ สภาธุรกิจไทย-จีน ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสะพานเชื่อมสัมพันธไมตรีด้านเศรษฐกิจกับจีนนั้น ได้นำคณะตัวแทนจำหน่ายรถยนต์แนวหน้าของไทยไปพูดคุยกับผู้ประกอบการรถยนต์ของจีน ปรากฏว่ารถยนต์ของจีนเป็นพวงมาลัยซ้าย แต่สำหรับบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น  ไทย  พวงมาลัยจะอยู่ทางขวา สภาธุรกิจไทย-จีน และตัวแทนจำหน่ายรถยนต์จากไทย ได้ร้องขอให้ผู้ผลิตรถยนต์ของจีนพัฒนารถยนต์ที่มีพวงมาลัยทางขวา เพื่อที่จะสามารถนำรถยนต์มาจำหน่ายในไทยและประเทศทางแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

หลังจากนั้น ผู้ผลิตรถยนต์จากจีนเสนอว่า หากต้องการให้ทางจีนผลิตรถยนต์ตามแนวทางที่เสนอไป ทางฝ่ายตัวแทนจำหน่ายของไทยก็จะต้องรับผิดชอบต้นทุนในการพัฒนารถยนต์ที่สูงขึ้นด้วย ทำให้เห็นว่านักอุตสาหกรรมของจีนนั้น ไม่มีแนวความคิดทางการตลาดที่แท้จริง หรือจิตสำนึกการแข่งขันทางการค้า ซึ่งอาจเป็นเพราะจีนมองว่ามีตลาดภายในประเทศอันกว้างใหญ่อยู่แล้ว  ในจุดนี้ก็ใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมการผลิตของสหรัฐอเมริกาในช่วงก่อนหน้า ที่จะไม่ค่อยใส่ใจกับตลาดต่างประเทศแต่จะให้ความสนใจเฉพาะตลาดภายในเพียงอย่างเดียวเช่นเดียวกับจีนในขณะนี้ เป็นเหตุให้ตลาดต่างประเทศโดนประเทศอื่นครอบครองไป   และเมื่อนักอุตสาหกรรมของสหรัฐฯเหล่านั้นต้องการจะส่งออกขึ้นมา ก็ต้องเหนื่อยเป็นพิเศษในการแย่งชิงตลาดคืนมา เท่ากับได้สูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า แม้เป็นเพียงก้อนหินจากแดนไกล ก็สามารถนำมาขัดสีฉวีวรรณให้เป็นหยกใสอันมีค่าได้ เปรียบเสมือนสินค้าอันเป็นแบรนด์แห่งชาติหากไม่ได้รับการยอมรับและชื่นชอบของตลาดต่างประเทศแล้ว ก็เท่ากับว่าได้สูญเสียสมรรถนะในการแข่งขันไปในที่สุด เพราะประเทศจะไม่สามารถเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งอยู่อย่างยั่งยืนเพียงพึ่งพาการค้าขายภายในประเทศแต่ไม่มีตลาดต่างประเทศอันกว้างใหญ่มารองรับ

อย่างไรก็ตาม สังเกตุได้ว่ารัฐบาลจีนเริ่มที่จะยกระดับกระบวนการทางการค้าต่างประเทศเข้ามาเป็นยุทธศาสตร์อันสำคัญยิ่งของประเทศ  แผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 12 ของจีน ระหว่างปี 2554-2558 ได้แสดงให้เห็นว่าได้มีการสนับสนุนให้มีการปรับปรุงนโยบายและมาตรการที่จะทำให้กระบวนการที่เกี่ยวกับการค้าต่างประเทศดียิ่งขึ้น กล่าวคือไม่เพียงแต่การประกอบการเพื่อการส่งออกแต่จะครอบคลุมตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การออกแบบเน้นการผลิตชิ้นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตสินค้าต่างๆ ระบบโลจิสติกส์ และการขยายบทบาทห่วงโซ่มูลค่าเพิ่มในประเทศให้มากขึ้น 

จากสถิติที่ได้บันทึกไว้ มีบริษัท องค์กรขนาดใหญ่ของโลกที่ติดอันดับ “Fortune 500” ของนิตยสารฟอร์จูน ถึง 480 แห่งได้เข้ามาลงทุนในจีน สิ่งที่จีนจะได้รับประโยชน์ก็คือเทคโนโลยี การจัดการด้านคุณภาพ และแนวความคิดทางการตลาดอันก้าวล้ำ ซึ่งจะเป็นการยกระดับและส่งเสริมให้กระบวนการผลิตของจีนก้าวขึ้นไปสู่การเป็น โรงงานของโลก ที่มีคุณภาพ มีความเข้มแข็งในการวิจัยและพัฒนา มีการออกแบบที่โดดเด่น ตลอดจนการได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาในผลิตภัณฑ์ของตนเอง ซึ่งเมื่อก้าวไปสู่จุดนั้นสินค้า Made in China ก็จะได้แสดงบทบาทสำคัญในตลาดโลก เพราะได้เป็นสินค้าที่มีมาตรฐานระดับโลกอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม คงเป็นเรื่องยากและต้องใช้กระบวนการที่ยาวนานพอสมควร  เพื่อที่จะยกระดับมาตรฐานสินค้า Made in China การจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยความพยายามอย่างจริงจังของบริษัทจีนเท่านั้น

ทั้งนี้การที่จะทำให้สินค้า Made in China ก้าวกระโดดขึ้นมาอย่างมีศักดิ์ศรีในตลาดโลก จำเป็นต้องมีการดำเนินการตามแนวทางดังต่อไปนี้

1.จีนจะต้องรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาคและค่าเงินหยวนให้คงที่ ซึ่งจะได้เป็นหลักประกันขั้นพื้นฐานในการปรับเปลี่ยนและยกระดับสินค้า Made in China
2.ในขณะสร้างความเข้มแข็งให้กับกำลังซื้อภายในประเทศ ต้องไม่ละทิ้งตลาดต่างประเทศ ต้องพัฒนานโยบายที่ดีและให้ประโยชน์แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศให้เข้มแข็ง
3.ในการพัฒนาคุณภาพและชื่อเสียงของสินค้า Made in China รัฐบาลจะต้องกระตุ้นให้นักธุรกิจมีแนวคิดทางการตลาดที่เฉียบคมมากขึ้น มีจิตสำนึกความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆเพื่อที่จะสร้างความน่าเชื่อถือด้านคุณภาพและเทคโนโลยีที่สูงขึ้นของสินค้า Made in China
4.ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้เป็นผู้มีสิทธิกำหนดราคาในการแข่งขันบนเวทีตลาดโลก ลบล้างเปลี่ยนแปลงแนวคิดผู้บริโภคที่ดูแคลนสินค้า “Made in China” 
5.ใช้กฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลกให้เกิดประโยชน์อย่างเหมาะสม อาศัยการลงทุนหรือร่วมทุนกับนักลงทุนต่างประเทศในประเทศอื่นๆใช้แหล่งกำเนิดใหม่เพื่อ หลีกเลี่ยงข้อจำกัดโควตา รวมถึงหลีกเลี่ยงการปกป้องทางการค้าระหว่างประเทศ ลดปัญหาความขัดแย้งด้านการค้าเพื่อรักษาระดับการส่งออกสินค้า “Made in China” อย่างสมเหตุสมผลที่สุด

ทั้งนี้มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและความก้าวหน้าของ เศรษฐกิจจีน จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทย เอเชียและกับโลกด้วย และเป็นที่น่ายินดีที่เห็นว่าจีนยังคงเป็นประเทศแรกที่ทั้งธนาคารโลกและ องค์กรวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจระดับโลกหลายแห่ง มองว่าเป็นประเทศที่มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับแนวหน้าของโลก ซึ่งการที่รัฐบาลจีนกำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ 8%ในปี 2555 นั่นหมายถึงว่าจีนยังมีความตั้งมั่นที่จะแก้ไขและสร้างเสถียรภาพเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในด้านการค้าระหว่างประเทศ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับผลกระทบจากเศรษฐกิจตกต่ำในยุโรปและสหรัฐอเมริกา จีนควรฉวยโอกาสอย่างเต็มที่จากข้อได้เปรียบที่มีอยู่จากสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อเร่งรัดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งในแง่ของความรวดเร็วและคุณภาพ และเมื่อใดก็ตามที่จีนสามารถลบล้างจุดอ่อนของสินค้า Made in China และสามารถเสริมความเข้มแข็งด้านคุณภาพรวมถึงสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้า Made in China ก็ จะเกิดการยกระดับมาตรฐานการค้าระหว่างประเทศของจีนให้สูงขึ้น จึงไม่น่ามีข้อสงสัยแต่อย่างใดว่า จีนจะก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจด้านการค้าระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งในไม่ช้า ...

-###-

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

เพลง "คนบ้านเดียวกัน" สะท้อนปัญหาค่าแรงขั้นต่ำ

"ค่าแรงขั้นต่ำ" ต่ำติดดิน... ความเป็นจริงของสังคม
สะท้อนมาเป็นเพลง คนบ้านเดียวกัน

....เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อน..แต่ไม่เคยได้ตั้งใจฟังอย่างจริงจัง
วันก่อนได้ยินอีกครั้งทาง True Visions ช่องเพลงลูกทุ่งอะไรสักช่องโดยบังเอิญ
แล้วรู้สึก ตรง กับความเป็นจริงในสังคมไทย...
...ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นไปไม่รู้จะกี่เท่าต่อกี่เท่า ข้าวของกินของใช้ก็ปรับราคากันตามต้นทุนที่สูงขึ้น
แต่ค่าแรงยังไม่ขยับ ผลผลิตทางการเกษตรยังราคาถูก ชาวนา ชาวไร่ หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน ทำมาหากินเหนื่อยหนักอย่างไร ก็ไม่อาจลืมตาอ้าปากได้สักที
...ทฤษฎีสองสูง ชูแนวคิดว่า สินค้าสูง รายได้ต้องสูง ได้ยินได้ฟังมาหลายปี...มีทั้งคนเห็นด้วย และคนคัดค้าน
ในขณะที่ภาพความเป็นจริงของสังคม...ยังคงเป็นไปแบบเดิม ๆ

ในเนื้อเพลงคนบ้านเดียวกันของ ไผ่ พงศธร เขียนไว้ทำให้เห็นภาพ
อ้ายทิดเคน  เข้ามาเป็นคนขับแท็กซี่  จากร้อยเอ็ด  เฮ็ดนาได้เอาไปใช้แต่หนี้
ตัดสินใจ หิ้วกระเป๋าเดินทาง  มาสู้กลางเมืองใหญ่เมืองนี้
ทิดเคน คงเป็นชาวนา...ที่ทำนาหนักเท่าไหร่ ก็หาเงินไม่พอใช้หนี้ทั้งค่าเมล็ดพันธ์ ปุ๋ย และยาฆ่าแมลง
จึงต้องตัดสินใจเข้ากรุงฯ เพราะหวังว่าชีวิตจะดีกว่าเก่า
เพลงไม่ได้บอกต่อว่า ทิดเคน เป็นอย่างไรหลังเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองหลวง
แต่ก็คงเดาภาพออก...

ด้านผู้ใช้แรงงาน รายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย...ทำงานหนักเท่าไหร่ ก็ยังจนดักดานอยู่เหมือนเดิม...
เห็นภาพชัดอีกครั้งเมื่อได้ฟังเพลงนี้ในท่อนที่ว่า
น้องตั๊กแตน เข้ามาเป็นสาวโรงงานเย็บผ้า  แรงที่ใช้ กับเงินที่ได้ ยังบ่เคยคุ้มค่า
 
นักเรียน ม.ปลายจากภาคอีสาน  กลายเป็นแรงงานถูกกดราคา

...1 เมษายน 2555 ดีเดย์ปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน
จะปรับทั้งหมดทุกพื้นที่ หรือทยอยปรับ...ตามความเหมาะสม ก็ยังดีกว่า ไม่ทำอะไรเลย

คนบ้านเดียวกัน  แค่มองตากันก็เข้าใจอยู่
รู้ว่าเหนื่อยแค่ไหน  ว่าหนักแค่ไหนบนหนทางสู้
ยังมีคำปลอบโยน  ยังมีคำปลอบใจ
มีคำว่าซำบายดีบ่ให้กันเสมอ
เด้อคนบ้านเฮา