ก้าวย่างสำคัญของจีนบนเวทีการค้าโลก
โดย นายธนากร เสรีบุรี
รองประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์
ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจยานยนต์และอุตสาหกรรม(จีน)
ประธานสภาธุรกิจไทย-จีน
นับเป็นเวลา 10 ปีแล้วที่จีนได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ซึ่งจีนก็ได้แสดงให้ชาวโลกได้เห็นถึงความสำเร็จผ่านทางตัวเลขการส่งออกที่เติบโต อย่างรวดเร็ว จนถึงปัจจุบันจีนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และบทบาทในวันนี้ของจีนจึงไม่ได้เป็นแค่เพียงสมาชิกของ WTO แต่ยังเป็นเครื่องจักรกลตัวสำคัญที่มีผลต่อการขับเคลื่อน และสร้างสรรค์ความสัมพันธ์ของเศรษฐกิจโลก
จีนได้เข้าเป็นสมาชิกของ WTO มาตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งขณะนั้นจีนมีปริมาณการนำเข้าและส่งออกอยู่ที่ 5.1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็น 4.4 % ของการค้าโลก และในทศวรรษที่ผ่านมาการนำเข้าและส่งออกของจีนเติบโตในอัตรา 18.3% และ 17.6% ตามลำดับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ GDP ของจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยปรากฏว่าในปี 2554 ที่ผ่านมาปริมาณการนำเข้าและส่งออกของจีนเท่ากับ 3.64 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯเพิ่มขึ้นจากเดิมเมื่อก่อนเข้าเป็นสมาชิก WTO ถึง 7 เท่า และมีส่วนแบ่งทางการค้าโลกเพิ่มขึ้นถึง 6% ก้าว สู่การเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ2ของโลก เป็นประเทศที่มีการนำเข้าสูงสุดอันดับ 1 และการส่งออกมากที่สุดเป็นอันดับ 2ของโลก
รัฐบาลจีนได้ดำเนินยุทธศาสตร์ “การเติบโตอย่างมั่นคง – การปรับโครงสร้าง และ แสวงหาความสมดุล”(Steady growth, structural adjustment and balance-seeking)เพื่อรองรับการค้าต่างประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดการเกินดุลการค้าระหว่างประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าในปี 2554 ที่ผ่านมาจีนเกินดุลการค้าระหว่างประเทศอยู่ที่ 155.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นยอดที่น้อยกว่าปี 2553 จำนวน 26.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
แม้ว่าจะได้รับผลเป็นที่น่าพอใจ แต่รัฐบาลจีนยังคงดำเนินการด้านการค้าระหว่างประเทศอย่างระมัดระวังและภายใต้ทัศนคติที่มีเหตุผลและแจกแจงให้สังคมโลกทราบเสมอว่า ตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมาบริษัทต่างประเทศได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในธุรกิจด้านการค้าระหว่างประเทศในจีน พิจารณาได้จากตัวเลขผลประกอบการรวมของบริษัทเหล่านี้ซึ่งสูงกว่าผลประกอบการของบริษัทจีน โดยมีมูลค่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณการส่งออกทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจีนจะประสบความสำเร็จอย่างล้นเหลือในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายและแรงต้านทานทั้งภายนอกและภายในอย่างมากมาย รวมไปถึงการได้รับผลพวงจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจากยุโรปและอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่จีนทำการส่งออกมูลค่ามากกว่า 40% และยังเป็นกลุ่มประเทศที่มีปัญหาการแข่งขันและความขัดแย้งกับจีนเพิ่มมากขึ้น โดยกระทรวงพาณิชย์ของจีนรายงานว่าจีนต้องรับกับปัญหาเรื่องการตอบโต้การทุ่มตลาดมากที่สุดใน 16 ปีที่ผ่านมา รวมถึงต้องเผชิญกับการถูกสอบสวนกรณีการให้เงินสนับสนุนโดยมิชอบตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอีกด้วย
10 ปีที่จีนเป็นสมาชิก WTO ปรากฏว่าจีนมีกรณีที่ต้องถูกฟ้องร้องสอบสวนต่าง ๆ เกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ 602 คดี คิดเป็นวงเงินรวมประมาณ 38.98 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับการตอบโต้การทุ่มตลาดจำนวน 510 คดี เกี่ยวกับการให้เงินสนับสนุนโดยมิชอบอีก 43 คดี เกี่ยวกับมาตรการปกป้องการนำเข้าจำนวน 106 คดี และอีก 33 คดีเกี่ยวกับมาตรการปกป้องพิเศษ
โดยเฉพาะในปี 2554 จีนต้องเผชิญกับกรณีขัดแย้งด้านการค้าระหว่างประเทศมากถึง 66 เรื่องภายใต้วงเงินที่ถูกสอบสวนถึง 7.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเพราะการพัฒนาเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วของจีนได้ไปสร้างความเดือดร้อนแก่หลาย ๆ ประเทศ
จากนโยบายเปิดให้สิทธิจัดตั้งบริษัทค้าขายระหว่างประเทศ ปัจจุบันบริษัทจำนวนมากได้เข้าสู่ธุรกิจด้านการส่งออกมากขึ้น ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 700,000 ราย ในจำนวนนี้มีมากถึง 400,000 รายเป็นกิจการของภาคเอกชน โดย 80% เป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และมากกว่า 70%ของการส่งออกทั้งหมดของจีนล้วนเป็นสินค้าที่ผลิตจากกิจการขนาดกลางและขนาดย่อมในจีน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากภาวะเศรษฐกิจการค้าโลกและจากการปฏิรูปของจีนที่เปิดประเทศมากขึ้น บริษัทการค้าระหว่างประเทศต่างเผชิญกับปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างมากมาย อาทิ คำสั่งซื้อที่มีจำนวนน้อยลง หรือ การขาดแคลนแรงงาน (สาเหตุ มาจากการพัฒนาด้านเศรษฐกิจของจีนที่เน้นไปที่ภาคกลางและภาคตะวันตกมากขึ้น ในช่วง 2-3 ปีหลัง ทำให้แรงงานเคลื่อนย้ายไปภาคดังกล่าวมากขึ้น) การขาดแคลนเงินสดหมุนเวียน (สาเหตุมาจากกิจการ SMEs ไม่ได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากธนาคาร) ต้นทุนดำเนินการสูงขึ้น (สาเหตุจากวัตถุดิบและค่าจ้างแรงงานสูงขึ้น)
ด้วยผลพวงจากสถานการณ์ดังกล่าว การค้าระหว่างประเทศของจีนจึงเข้าสู่ห้วงเวลาที่เป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย ตามคำพังเพยของจีนที่ว่า “โอกาสมักจะมากกว่าอุปสรรคและท้าทาย”
เมื่อพิจารณาโดยรวม การค้าระหว่างประเทศในอนาคตของจีนจะยังคงเติบโตไปข้างหน้าอย่างมั่นคงแม้ว่าจะได้รับแรงกดดันและการแข่งขันจากประเทศที่ก้าวหน้ากว่าอย่างเช่นในยุโรปและสหรัฐอเมริกา แต่เนื่องด้วยความมีเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค และค่าเงินหยวน ตลอดไปจนถึงขนาดตลาดที่ยิ่งใหญ่ของจีน แรงงานราคาถูก และด้วยศักยภาพของรัฐบาลกลางที่มีนโยบายควบคุมอย่างเข้มงวด ดังนั้นปัจจัยเหล่านี้ได้ทำให้จีนมีความสามารถในการแข่งขันมากเป็นพิเศษในตลาดการค้าโลก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้มีมาตรการให้ลดและจำกัดการส่งออกสินค้าประเภทใช้พลังงานสิ้นเปลือง สินค้าที่ก่อให้เกิดมลภาวะสูง สินค้าที่เป็นวัตถุดิบและเป็นทรัพยากรธรรมชาติ และด้วยมาตรการนี้จึงส่งผลให้โครงสร้างการส่งออกของสินค้ามีการเปลี่ยนแปลงจำนวนมาก
นอกจากนี้ยังสังเกตเห็นมูลค่าการส่งออกของจีนซึ่งมีนัยสำคัญ ส่วนแบ่งสินค้า “Made in China” มีจำนวนเกือบกึ่งหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นการส่งออกสินค้าแปรรูปในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 พบว่าสินค้า “Made in China” มีส่วนแบ่งสูงถึง 47%ตามสภาพเศรษฐกิจของจีนที่ยังมีการพัฒนาและขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้ง สัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มสูงขึ้นอีก จึงเชื่อได้ว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการส่งออกดังกล่าวจะต้องมีความสำคัญต่อการค้าระหว่างประเทศของจีน
ในฐานะที่เป็นประธานสภาธุรกิจไทย-จีน และเป็นผู้ประกอบการชาวไทยเชื้อสายจีนที่เข้าไปลงทุนหลังการปฏิรูปและเปิดประเทศของจีนในช่วงแรกเริ่ม ได้ให้ความสนใจอยู่เสมอเกี่ยวกับแนวโน้มของการพัฒนาทางเศรษฐกิจของจีน โดยเฉพาะสถานการณ์ด้านการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศของจีน เพราะเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยและผู้ประกอบการไทยที่เข้าไปลงทุนในประเทศจีนโดยตรง สำหรับการค้าระหว่างประเทศจีนในอนาคตเกี่ยวกับเรื่องของ “Made in China” จึงมีความเห็นดังนี้
ในการพัฒนากระบวนการแปรรูปสินค้าเพื่อการส่งออกของจีนนั้น สามารถเรียนรู้จากยุคแรกของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเพื่อใช้เป็นบทเรียนที่ดี ในช่วงนั้นสินค้าที่ตีตรา “Made in Japan” ก็เคยประสบปัญหามาแล้วอย่างมากมาย การทำการค้าระหว่างประเทศของญี่ปุ่นในยุคนั้นเป็นที่ปรากฏว่าสินค้า“Made in Japan”ไม่สามารถเข้าสู่ตลาดระดับบนได้ จึงจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ราคาต่ำเข้าไปแข่งขันกับตลาดโลก ในขณะที่ความต้องการสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ “Made in Japan” ในญี่ปุ่นเองก็มีอยู่ค่อนข้างน้อย เพื่อแก้ไขปัญหานี้บริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคไปศึกษาดูงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ และพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของตลาดโลก รวมถึงมีความพยายามอย่างยิ่งที่จะพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และการสร้างแบรนด์ของตนเองโดยได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากรัฐบาล จนทำให้สินค้า “Made in Japan” ไม่ว่าจะเป็นคุณค่าของแบรนด์หรือเกรดสินค้าต่างก็สามารถไปแข่งขันอย่างทัดเทียมกับผลิตภัณฑ์ที่มาจากยุโรปและอเมริกาได้เป็นอย่างดีทั้งในแง่ของราคาและคุณภาพ
เมื่อเปรียบเทียบกับญี่ปุ่นแล้ว จีนเองมีข้อได้เปรียบทางการค้าที่มากกว่าญี่ปุ่นในยุคนั้น ประการแรก จีนมีตลาดภายในประเทศขนาดใหญ่เพียงพอที่จะรองรับสินค้า Made in China อย่างไรก็ตาม ข้อได้เปรียบนี้อาจจะเป็นดาบสองคมได้ หากไม่สามารถใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้ดีเท่าที่ควร ผู้ผลิตสินค้า “Made in China” จำนวนมากไม่ห่วงปัญหาการตลาดภายในประเทศและเนื่องจากราคาสินค้าส่งออกต่ำกว่าราคาขายภายในประเทศ ส่งผลให้เกิดผลเสียตามมาอย่างมากมาย โดยเฉพาะบริษัทผู้ผลิตสินค้าหลายแห่งทั้งขนาดใหญ่ และขนาดกลางต่างก็ไม่มีความสนใจที่จะส่งสินค้าออกไปต่างประเทศ สินค้าที่เป็นแบรนด์ของตัวเองไม่ได้รับการปรับปรุงพัฒนาและการยกระดับคุณภาพเท่าที่ควร ไม่มีจิตสำนึกด้านการตลาดต่างประเทศและการให้ความสำคัญด้านการบริการ
ปัจจัยสำคัญซึ่งทำให้สินค้า “Made in Japan” ประสบความสำเร็จนั่นคือการจัดตั้ง “สำนักงานตัวแทนด้านการพัฒนาและส่งออก”ในรูปของสถาบันการลงทุนอิสระ ที่ มีงบประมาณเป็นของตนเองมีการกำหนดกลยุทธ์ในการทำการตลาดขึ้นในแต่ละประเทศทั้งระยะสั้นและระยะยาว ดังนั้นการพัฒนาและการส่งออกจึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของบริษัทอย่างแท้จริง เมื่อผนวกรวมเข้ากับการทำงานอย่างเข้มแข็งของบริษัทผู้ประกอบการที่พยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการญี่ปุ่นประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงติดระดับโลกและมี ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นบนเวทีการค้าระดับโลก
สินค้า “Made in China” ในวันนี้ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากสินค้า “Made in Japan” แต่อย่างใด เพราะต่างมีเป้าหมายที่จะไปแข่งขันในตลาดระดับโลก แต่สินค้า Made in China ดู จะคุณภาพไม่ค่อยดีนัก และดูไม่ทันสมัย การบริการก็ไม่ได้มาตรฐาน รวมไปถึงการใช้ราคาต่ำเพื่อแข่งขันกันส่งออกอย่างไม่เป็นระบบ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของจีน ในสภาพเช่นนี้ สินค้าMade in Chinaจึงถูกจัดเป็นสินค้าเกรดต่ำในตลาดโลกไปโดยปริยาย
คุณภาพต่ำ กำไรต่ำ ทั้งยังมีความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างประเทศบ่อยครั้ง รวมถึงการถูกจำกัดโควตา เหล่านี้ล้วนแล้วแต่สร้างภาพลบแก่จีน และยังเกิดความเสียหายทางการเงินด้วย
ตัวอย่าง สำคัญที่เห็นได้ชัดคือ สภาธุรกิจไทย-จีน ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสะพานเชื่อมสัมพันธไมตรีด้านเศรษฐกิจกับจีนนั้น ได้นำคณะตัวแทนจำหน่ายรถยนต์แนวหน้าของไทยไปพูดคุยกับผู้ประกอบการรถยนต์ของจีน ปรากฏว่ารถยนต์ของจีนเป็นพวงมาลัยซ้าย แต่สำหรับบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย พวงมาลัยจะอยู่ทางขวา สภาธุรกิจไทย-จีน และตัวแทนจำหน่ายรถยนต์จากไทย ได้ร้องขอให้ผู้ผลิตรถยนต์ของจีนพัฒนารถยนต์ที่มีพวงมาลัยทางขวา เพื่อที่จะสามารถนำรถยนต์มาจำหน่ายในไทยและประเทศทางแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หลังจากนั้น ผู้ผลิตรถยนต์จากจีนเสนอว่า หากต้องการให้ทางจีนผลิตรถยนต์ตามแนวทางที่เสนอไป ทางฝ่ายตัวแทนจำหน่ายของไทยก็จะต้องรับผิดชอบต้นทุนในการพัฒนารถยนต์ที่สูงขึ้นด้วย ทำให้เห็นว่านักอุตสาหกรรมของจีนนั้น ไม่มีแนวความคิดทางการตลาดที่แท้จริง หรือจิตสำนึกการแข่งขันทางการค้า ซึ่งอาจเป็นเพราะจีนมองว่ามีตลาดภายในประเทศอันกว้างใหญ่อยู่แล้ว ในจุดนี้ก็ใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมการผลิตของสหรัฐอเมริกาในช่วงก่อนหน้า ที่จะไม่ค่อยใส่ใจกับตลาดต่างประเทศแต่จะให้ความสนใจเฉพาะตลาดภายในเพียงอย่างเดียวเช่นเดียวกับจีนในขณะนี้ เป็นเหตุให้ตลาดต่างประเทศโดนประเทศอื่นครอบครองไป และเมื่อนักอุตสาหกรรมของสหรัฐฯเหล่านั้นต้องการจะส่งออกขึ้นมา ก็ต้องเหนื่อยเป็นพิเศษในการแย่งชิงตลาดคืนมา เท่ากับได้สูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า “แม้เป็นเพียงก้อนหินจากแดนไกล ก็สามารถนำมาขัดสีฉวีวรรณให้เป็นหยกใสอันมีค่าได้” เปรียบเสมือนสินค้าอันเป็นแบรนด์แห่งชาติหากไม่ได้รับการยอมรับและชื่นชอบของตลาดต่างประเทศแล้ว ก็เท่ากับว่าได้สูญเสียสมรรถนะในการแข่งขันไปในที่สุด เพราะประเทศจะไม่สามารถเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งอยู่อย่างยั่งยืนเพียงพึ่งพาการค้าขายภายในประเทศแต่ไม่มีตลาดต่างประเทศอันกว้างใหญ่มารองรับ
อย่างไรก็ตาม สังเกตุได้ว่ารัฐบาลจีนเริ่มที่จะยกระดับกระบวนการทางการค้าต่างประเทศเข้ามาเป็นยุทธศาสตร์อันสำคัญยิ่งของประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 12 ของจีน ระหว่างปี 2554-2558 ได้แสดงให้เห็นว่าได้มีการสนับสนุนให้มีการปรับปรุงนโยบายและมาตรการที่จะทำให้กระบวนการที่เกี่ยวกับการค้าต่างประเทศดียิ่งขึ้น กล่าวคือไม่เพียงแต่การประกอบการเพื่อการส่งออกแต่จะครอบคลุมตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การออกแบบเน้นการผลิตชิ้นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตสินค้าต่างๆ ระบบโลจิสติกส์ และการขยายบทบาทห่วงโซ่มูลค่าเพิ่มในประเทศให้มากขึ้น
จากสถิติที่ได้บันทึกไว้ มีบริษัท องค์กรขนาดใหญ่ของโลกที่ติดอันดับ “Fortune 500” ของนิตยสารฟอร์จูน ถึง 480 แห่งได้เข้ามาลงทุนในจีน สิ่งที่จีนจะได้รับประโยชน์ก็คือเทคโนโลยี การจัดการด้านคุณภาพ และแนวความคิดทางการตลาดอันก้าวล้ำ ซึ่งจะเป็นการยกระดับและส่งเสริมให้กระบวนการผลิตของจีนก้าวขึ้นไปสู่การเป็น “โรงงานของโลก” ที่มีคุณภาพ มีความเข้มแข็งในการวิจัยและพัฒนา มีการออกแบบที่โดดเด่น ตลอดจนการได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาในผลิตภัณฑ์ของตนเอง ซึ่งเมื่อก้าวไปสู่จุดนั้นสินค้า Made in China ก็จะได้แสดงบทบาทสำคัญในตลาดโลก เพราะได้เป็นสินค้าที่มีมาตรฐานระดับโลกอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม คงเป็นเรื่องยากและต้องใช้กระบวนการที่ยาวนานพอสมควร เพื่อที่จะยกระดับมาตรฐานสินค้า Made in China การจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยความพยายามอย่างจริงจังของบริษัทจีนเท่านั้น
ทั้งนี้การที่จะทำให้สินค้า Made in China ก้าวกระโดดขึ้นมาอย่างมีศักดิ์ศรีในตลาดโลก จำเป็นต้องมีการดำเนินการตามแนวทางดังต่อไปนี้
1.จีนจะต้องรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาคและค่าเงินหยวนให้คงที่ ซึ่งจะได้เป็นหลักประกันขั้นพื้นฐานในการปรับเปลี่ยนและยกระดับสินค้า Made in China
2.ในขณะสร้างความเข้มแข็งให้กับกำลังซื้อภายในประเทศ ต้องไม่ละทิ้งตลาดต่างประเทศ ต้องพัฒนานโยบายที่ดีและให้ประโยชน์แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศให้เข้มแข็ง
3.ในการพัฒนาคุณภาพและชื่อเสียงของสินค้า Made in China รัฐบาลจะต้องกระตุ้นให้นักธุรกิจมีแนวคิดทางการตลาดที่เฉียบคมมากขึ้น มีจิตสำนึกความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆเพื่อที่จะสร้างความน่าเชื่อถือด้านคุณภาพและเทคโนโลยีที่สูงขึ้นของสินค้า Made in China
4.ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้เป็นผู้มีสิทธิกำหนดราคาในการแข่งขันบนเวทีตลาดโลก ลบล้างเปลี่ยนแปลงแนวคิดผู้บริโภคที่ดูแคลนสินค้า “Made in China”
5.ใช้กฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลกให้เกิดประโยชน์อย่างเหมาะสม อาศัยการลงทุนหรือร่วมทุนกับนักลงทุนต่างประเทศในประเทศอื่นๆใช้แหล่งกำเนิดใหม่เพื่อ หลีกเลี่ยงข้อจำกัดโควตา รวมถึงหลีกเลี่ยงการปกป้องทางการค้าระหว่างประเทศ ลดปัญหาความขัดแย้งด้านการค้าเพื่อรักษาระดับการส่งออกสินค้า “Made in China” อย่างสมเหตุสมผลที่สุด
ทั้งนี้มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและความก้าวหน้าของ เศรษฐกิจจีน จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทย เอเชียและกับโลกด้วย และเป็นที่น่ายินดีที่เห็นว่าจีนยังคงเป็นประเทศแรกที่ทั้งธนาคารโลกและ องค์กรวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจระดับโลกหลายแห่ง มองว่าเป็นประเทศที่มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับแนวหน้าของโลก ซึ่งการที่รัฐบาลจีนกำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ 8%ในปี 2555 นั่นหมายถึงว่าจีนยังมีความตั้งมั่นที่จะแก้ไขและสร้างเสถียรภาพเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในด้านการค้าระหว่างประเทศ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับผลกระทบจากเศรษฐกิจตกต่ำในยุโรปและสหรัฐอเมริกา จีนควรฉวยโอกาสอย่างเต็มที่จากข้อได้เปรียบที่มีอยู่จากสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อเร่งรัดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งในแง่ของความรวดเร็วและคุณภาพ และเมื่อใดก็ตามที่จีนสามารถลบล้างจุดอ่อนของสินค้า Made in China และสามารถเสริมความเข้มแข็งด้านคุณภาพรวมถึงสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้า Made in China ก็ จะเกิดการยกระดับมาตรฐานการค้าระหว่างประเทศของจีนให้สูงขึ้น จึงไม่น่ามีข้อสงสัยแต่อย่างใดว่า จีนจะก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจด้านการค้าระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งในไม่ช้า ...
-###-